วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การสต๊าฟผีเสื้อ



การสต๊าฟผีเสื้อ



         กำเนิดผีเสื้อ   



       แมลงที่เราพบเห็นส่วนใหญ่วิวัฒนาการมาตั้งแต่ ยุคคาร์บอนนิเฟอรัส (Carboniferous) ราว 300 ล้านปีก่อน จากซากดึกดำบรรพ์พบว่า ผีเสื้ออาจจะวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษของแมลงในอันดับมีคอปเทอรา (Mecoptera) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคเพอร์เมียน (Permian) ตอนต้น หรือประมาณ 250 ล้านปีก่อน แต่ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นผีเสื้อได้ก็ต้องใช้เวลาหลังจากนั้นอีกหลายล้านปี เพราะ ซากดึกดำบรรพ์ ของผีเสื้อกลางคืนที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ มีอายุในราว 100 - 140 ล้านปีก่อน ส่วนซากดึกดำบรรพ์ของผีเสื้อกลางวันมีอายุแค่ 40 ล้านปีเท่านั้น

             ถ้าเราลองดูความสัมพันธ์ของผีเสื้อกับพืชมีดอกในปัจจุบันก็เป็นไปได้ว่าทั้งสองมีวิวัฒนาการมาร่วมกัน ทั้งนี้เพราะผีเสื้อเกือบทุกชนิด มีปากเป็นท่องวงที่วิวัฒนาการมา เพื่อใช้ดูดน้ำหวานที่อยู่ลึกลงไปในดอกได้ พืชมีดอกที่เก่าแก่ที่สุด ที่ค้นพบ มีอายุราว 90 ล้านปีก่อน เมื่อตรวจดูความหลากหลายของพืชมีดอก ซึ่งมีอยู่มากมายในยุคนั้นแล้วพืชมีดอก ก็น่าจะกำเนิดขึ้นก่อนช่วงเวลาดังกล่าว คือเมื่อราว 150 - 200 ล้านปีก่อน ดังนั้น ถ้าผีเสื้อกับพืชดอกวิวัฒนาการร่วมกันแล้วผีเสื้อก็น่าจะเกิดขึ้นช่วงเวลานี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังคงสรุปให้ชัดเจน ลงไปไม่ได้ว่า ผีเสื้อถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อไรแน่ จนกว่าจะพบหลักฐานจากอดีตที่มากพอ

         รูปร่าง


  


       ผีเสื้อประกอบด้วยลำตัวที่ไม่มีโครงกระดูกภายในเช่นเดียวกับแมลงอื่น ๆ แต่มีเปลือกนอกแข็งเป็นสารจำพวกไคติน (chitin) ห่อหุ้มร่างกาย ภายในเปลือกแข็งเป็นที่ยึดของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนที่ลำตัวของผีเสื้อแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนหัว ส่วนอก  และส่วนท้อง  ทั้ง 3 ส่วนประกอบด้วยวงแหวนหลาย ๆ วงเรียงต่อกัน  เชื่อมยึดด้วยเยื่อบาง ๆ เพื่อให้การเคลื่อนไหวได้สะดวกวงแหวนที่เชื่อมต่อกันเป็นลำตัวของผีเสื้อมีทั้งหมด 14 ปล้อง  แบ่งออกเป็นส่วนหัว 1 ปล้อง ส่วนอก 3 ปล้อง และส่วนท้อง 10 ปล้อง


อุปกรณ์และวิธีการทดลอง


อุปกรณ์การศึกษาการวิจัย

1.  สวิงจับแมลง
2.  กระดาษสามเหลี่ยม
3.  ขวดโหลน๊อคแมลง
4.  กระดาษทิชชู
5.  สำลี
6.  เข็มสต๊าฟผีเสื้อ
7.  น้ำยาทาเล็บ
8.  กรงดักผีเสื้อ
9.  เหยื่อล่อผีเสื้อ(สับปะรด,ปลาร้า,น้ำผึ้ง,เกลือ)
10.ลูกเหม็น
11.กล้องถ่ายรูป
12. กล่องไม้เก็บตัวอย่างแมลง

วิธีการทดลอง

    ภาคสนาม
1.  วางกรงล่อผีเสื้อโดยใช้เหยื่อล่อผีเสื้อ
2.  ใช้สวิงจับผีเสื้อ
3.  ถ่ายรูปผีเสื้อ

    ภาคห้องปฏิบัติการ

1. นำผีเสื้อที่จับได้จากภาคสนามมาทำการสต๊าฟด้วยอุปกรณ์สต๊าฟแมลง
2. จากนำผีเสื้อที่ได้จากการสต๊าฟไปทำการอบด้วยอุณหภูมิที่  40 องศาเซลเซียสจนครบ 7  วัน
3. นำผีเสื้อที่อบได้ไปทำการเก็บที่กล่องไม้เก็บตัวอย่างแมลงโดยบรรจุลูกเหม็นลงไปในกล่องด้วยเพื่อป้องกันแมลง

ประโยชน์

           ผีเสื้อจัดว่าเป็นแมลงที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศอีกชนิดหนึ่ง โดยในระยะที่เป็นตัวหนอนจะกัดกินใบไม้ในป่า มิให้มีมาย หรือหนาแน่นจนเกินไป ช่วยให้แสงแดดสอดส่องลงถึงพื้นด้านล่าง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกมาก ในขณะเดียวกัน ก็เป็นอาหาร ของนกชนิดต่างๆ รวมทั้งสัตว์ชนิดอื่นๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ การถ่ายทอด พลังงานในระบบนิเวศ เมื่อเริ่มเข้าสู่ระยะตัวเต็มวัย ที่เรียกว่า ผีเสื้อ เพศเมีย ซึ่งกินน้ำหวานจากดอกไม้เป็นอาหารหลัก จะบินไปมาระหว่างดอกไม้คอกหนึ่ง สู่อีกดอกหนึ่ง ทำให้เกิดการผสมเกษร ระหว่างเกษรตัวผู้กับเกษรตัวเมีย ทำให้เกิดการกระจายพันธืของพืชชนิดนั้นๆ และอีกทั้งยังเป็นอาหารของนก กิ้งก่า และสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย ก่อให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศและความยั่งยืนในธรรมชาติตลอดไป

ที่มา

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบล


ประวัติการแห่เทียนพรรษา

                  มีเรื่องเล่าว่า ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้า ได้เสด็จจำ พรรษา อยู่ที่วัดป่าเลไลย์ เพื่อหาความสงบในป่าแห่งหนึ่ง ได้มี พญาช้างสาร และพญาวานรแสนรู้ สืบทราบว่า พระพุทธเจ้า ได้เสด็จมาประทับแรม จึงชวนกันไปเป็นผู้อุปัฏฐาก โดยพญาช้าง เป็นผู้หาน้ำดื่ม น้ำใช้ ส่วนพญาวานร เป็นผู้หารังผึ้งมาถวาย ต่อมา พญาวานรเกิด พลาดพลั้งพลัด ตกต้นไม้ตาย แต่ด้วย อานิสงส์ ที่ได้ทำไว้กับ พระพุทธเจ้า จึงได้เกิดเป็นพระพรหม อยู่บนสวรรค์
               การทำและแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีวันเข้าพรรษา ของชาวพุทธ ที่ได้กระทำต่อเนื่องกันมาแต่พุทธกาล โดยมี
วัตถุประสงค์ เพื่อ ถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา 

        อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พระอนุรุทธสาวกของ พระพุทธเจ้า ที่มีสติปัญญา เฉลียวฉลาดหลักแหลม
รู้พระธรรม วินัยอย่างแตกฉาน ก็เพราะในชาติปางก่อน เคยถวายแสงประทีป เป็นทาน ดังนั้น พุทธศาสนิกชน ผู้ใฝ่บุญกุศล จึงได้ยึดถือ เป็น ประเพณีนำเทียน ไปถวายแด่พระภิกษุในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อปรารถนาให้ตนเอง เป็นผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ประดุจ ขี้ผึ้ง ที่ใช้ทำเทียนซึ่งได้จากรังผึ้ง (อีสานเรียกว่า เรียงผึ้ง) โดย นำมาต้มเป็นงบคล้ายน้ำอ้อย บางที ดัดแปลงเป็นเลา (เหมือน ต้นอ้อย หรือลำไม้ไผ่) หรือรูปเหลี่ยม ส่วนการตกแต่ง ใช้วัสดุ จำพวกเชือกย้อมสี กระดาษที่ตัดเจาะ เป็นรูปตามถนัด พันรอบ ต้นเป็นเปลาะๆ




ประวัติความเป็นมา 

                    ก่อนสมัยของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิ ประสงค์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองอุบลในสมัยนั้น ในการ ทำเทียนพรรษา และการแห่เทียนของชาวเมืองอุบลยังไม่มี ซึ่งเมื่อสมัยนั้น เมื่อถึง วันเทศกาลเข้าพรรษา ชาวบ้านจะฟั่นเทียน พันรอบศรีษะนำไป ถวายพระ เพื่อจุดบูชาจำพรรษา พร้อมทั้งหา น้ำมัน เครืองไทยทาน และผ้าอาบน้ำฝน ไปถวายพระ
ครั้นในสมัยกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เป็นผู้ สำเร็จราชการ ที่เมืองอุบล ซึ่งในครั้งนั้น ได้มีการจัดขบวนแห่ บั้งไฟขึ้นที่วัดกลาง โดยมีชาวบ้านเข้าร่วมขบวนแห่ เป็นจำนวน มาก ซึ่งในการจัดขบวน แห่ในครั้งนั้น ได้มีการทำร้ายร่างกายกัน จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ ความตาย ดังนั้นเมื่อทราบถึงเสด็จในกรม จึงทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี จึงขอให้เลิกการแห่บั้งไฟ ตั้งแต่ บัดนั้น โดยให้เปลี่ยนมาเป็น การแห่เทียนแทน
การแห่เทียนแต่เดิมไม่ได้ใหญ่โตเช่นปัจจุบัน เพียงแต่ ชาวบ้าน ร่วมกัน บริจาคเทียนแล้วนำเทียน มาติดกับลำไม้ไผ่ ที่เตรียมไว้ ตามรอยต่อ หากระดาษจังโก (กระดาษสีเงินสีทอง) ตัดเป็นลายฟันปลาติดปิด รอยต่อ เสร็จแล้วนำต้นเทียน ไปมัดติด กับปี๊บ น้ำมันก๊าด
ฐานของต้นเทียนใช้ไม้ตีเป็นแผ่นเรียบ หรือทำสูงขึ้นเป็น ชั้นๆ ติดกระดาษ เสร็จแล้วมีการ แห่นำไปถวายวัด ซึ่งพาหนะ ที่ใช้ ในสมัยนั้น นิยมใช้เกวียนหรือล้อเลื่อนที่ใช้วัวหรือคน ลากจูง

เทียนพรรษาอุบลราชธานี

ประวัติประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี

ถ้าเป็นวัวก็มักจะมีการตกแต่งบริเวณรอบเขา รอบคอ และข้อเท้าด้วยกระดาษสี เกราะ หรือกระพรวน ส่วนขบวนแห่ ของชาวบ้าน ก็จะมีฆ้อง กลอง กรับ และการฟ้อนรำเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ต่อมา การทำเทียนได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ ถึงขั้นใช้การหล่อดอกจากผ้าพิมพ์ที่เป็นลายง่ายๆ เช่น ประจำยาม กระจัง ตาอ้อย บัวคว่ำ บัวหงาย ก้ามปู กรุยเชิง หน้าขบ ฯลฯ โดยนำไปติดที่ลำต้นเทียน ซึ่งช่างฝีมือคนแรกที่เป็นผู้เริ่ม คือ นายโพธิ์ ส่งศรี ต่อมา นายสงวน คูณผล ช่างฝีมืออีกผู้หนึ่ง ได้นำวิธีการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ และประดับฐานต้นเทียนด้วยรูปปั้นสัตว์ และลายไม้ฉลุ ทำให้ดูสวยงามมากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ.2495 ประชาชนเริ่มให้ความสนใจและเห็นความสำคัญในการทำ และแห่เทียนพรรษามากขึ้น เมื่อทางจังหวัด ได้ส่งเสริมให้งานเข้าพรรษาเป็นงานประเพณีประจำปีแล้วก็ตาม แต่ต้นเทียนในขณะนั้นก็ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ยังมีการ จัดทำประเภทของเทียนพรรษาอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ ประเภทมัดเทียนรวมกันแล้วติดกระดาษสี และประเภท พิมพ์ลาย ติดลำต้น ครั้นในปี พ.ศ.2497 ช่างฝีมือรุ่นเยาว์ อันได้แก่ นายอารี สินสวัสดิ์ นายประดับ ก้อนแก้ว เป็นอาทิ ได้พัฒนาวิธิทำ ขึ้นมาใหม่ โดยใช้ปูนพลาสเตอร์แกะแม่พิมพ์เป็นลายต่างๆ แล้วหล่อด้วยเทียนออกมาเป็นดอก ซึ่งขี้ผึ้งที่ใช้หล่อดอก จะใช้คนละสีกับลำต้น จึงทำให้มองเห็นส่วนลึกของลายได้อย่างชัดเจน ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 นายคำหมา แสงงาม ได้คิดวิธีทำเทียนขึ้นมาใหม่ โดยใช้วิธีแกะสลักลงบนต้นเทียน ซึ่งนับว่าเป็นวิธีทำเทียนที่ต้องใช้ฝีมือเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งช่าง แกะสลักเทียนยุคหลังที่มีชื่อเสียง ได้แก่ นายอุส่าห์ จันทรวิจิตร และนายสมัย จันทรวิจิตร เป็นต้น

อานิสงส์ถวายผ้าจำนำพรรษา
....เมื่อสมัยครั้งพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี มีอุบาสกคนหนึ่ง
เป็นผู้มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ชื่อว่าติสสะ ได้พร้อมใจกับภรรยาของตนเย็บและย้อม ซึ่งจีวรสบง
สังฆาฏิ ได้ถวายเสร็จแล้วก็ทูลลากลับไปสู่เคหาของตน

... ในกาลครั้งนั้นพระโมคคัลลานะ ผู้ประกอบ ด้วยฤทธานุภาพ 
สามารถนำข่าวสารสวรรค์มาบอกมนุษย์นำข่าวมนุษย์ไปบอกสวรรค์ และนรกเป็นต้น 
ครั้งแล้วพระโมคคัลลานะก็ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เห็นปราสาทมีความงามรุ่งเรืองกว่าปราสาทหลัง
อื่น ๆ และมีนางเทพกัญญา พันหนึ่งแวดล้อมปราสาทนั้น แต่ไม่มีเทพบุตรอยู่ในปราสาทหลังนั้น พระ
เถระเจ้าได้ไต่ถามกับนางเทพอัปสรนั้น ได้ทราบโดยตลอด จึงลงจากเทวโลกเข้าไปสู่สำนักพระบรม
ศาสดากำลังมีพุทธบริษัททั้ง ๔ แวดล้อมอยู่ พระเถระเข้าไปถวายอภิวาท แล้วก็ทูลถามถึงอานิสงส์
ถวายผ้าจำนำพรรษายังมีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์ ว่าปราสาททิพย์ได้รอคอยอยู่ในเทวโลก เพราะเกิดจาก
ผลทานของการถวายผ้าจำนำพรรษา จะมีบ้างไหมพระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงตรัสว่า 
ดูกรโมคคัลลานะ ผ้าจำนำพรรษาที่ติสสะอุบาสกได้กระทำไว้นั้น ก็ได้ปรากฏแก่เธอเองแล้วมิใช่หรือ 
พระโมคคัลลานะ ทูลตอบว่าจริงแล้วพระเจ้าข้า

สมเด็จภวันต์ตรัสต่อไปว่า โมคคัลลานะบุคคลผู้ใดมี ศรัทธา ได้ถวายผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุสงฆ์ 
มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น บุคคลผู้นั้นเบื้องหน้าแต่แตกกายทำลายขันธ์ ไป
ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป ทานสคฺคโสปาณํผลทานเป็นบันไดนำไปสู่สวรรค์
ปิดกันเสีย ซึ่งอบายภูมิ บุคคลผู้มีมืออันชุ่มไปด้วยการให้ทาน หมู่ทวยเทพทั้งหลายย่อมมีความยินดี
สรรเสริญรอคอยบุคคลผู้ให้ทานนั้นอยู่เสมอ ดุจนางอัปสรเทพกัญญารอคอยติสสะอุบาสกฉะนั้น เมื่อ
จบพระสัทธรรมเทศนาลง บริษัททั้ง ๔ มีความรื่นเริง ยินดีในพุทธพจน์นัก กลับเป็นผู้ตั้งอยู่ในกุศล
สัมมาปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ฝ่ายติสสะอุบาสกครั้นทำลายขันธ์ลงก็นำตนไปอุบัติขึ้นใน
สัตตรัตนปราสาท เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ มีนางอัปสรแวดล้อมเป็นยศบริวาร


"สืบฮีตวิถีชาวอุบล"ยลพุทธศิลป์ถิ่นไทยดี"
   งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีทางพุทธศาสนา ของชาวอุบลฯ ซึ่งมีความเจริญในพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีมาเป็นเวลายาวนาน ถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้กำหนดจัดงานขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 และแรม 1 ค่ำเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จัดให้มีขึ้นทุกปี   นับจากที่กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ได้ดำริให้มีการแห่เทียนพรรษารอบเมืองแทนการแห่บุญบั้งไฟ เมื่อ พ.ศ.2444 อุบลราชธานีมีวัฒนธรรม ประเพณี วิถีที่แสดงออกมาซึ่งความสามัคคีของชาติพันธุ์ที่หลากหลายกระจายทั่วทุก 25 อำเภอ เป็นประเพณีแห่เทียนพรรษาที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน เป็นการ "สืบฮีตวิถีชาวอุบล" โด่งดังไปทั่วโลก และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ได้สะท้อนความงามแห่งศิลป์ที่ทรงคุณค่า หลอมรวมกับวิถีชีวิตชุมชน เพื่อเชิดชูพระพุทธศาสนา ยึดมั่นในธรรม ทำให้ชีวิตอยู่ดีมีสุข สงบร่มเย็น และพอเพียง เป็นแก่นแท้แห่งถิ่นไทยดี ที่ชาวอุบลฯ ขอเชิญชวนทุกท่าน "ยลพุทธศิลป์ถิ่นไทยดี" สำหรับปีนี้ กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2556
       ปี พ.ศ. 2555 มีชื่องานว่า "111 ปี ลือเลื่อง ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"  เพื่อรำลึกในโอกาสครบรอบ 111 ปี นับจากที่กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ในหัวเมืองมณฑลอีสาน ได้ดำริให้มีการแห่ขบวนเทียนพรรษารอบเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2444 สำหรับปีนี้ กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2555 ณ บริเวณสนามทุ่งศรีเมือง
               ปี พ.ศ. 2554 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"   ใช้ชื่องานต่อเนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ปี 2553 กำหนดจะจัดงานระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2554 ณ บริเวณสนามทุ่งศรีเมือง โดยปีนี้จะมีความพิเศษกว่าทุกปี คือ มีการจัดทำต้นเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติ เป็นการนำเทียนประเภทแกะสลักและติดพิมพ์ มารวบรวมในต้นเทียนเดียวกัน โดยฝีมือช่างเทียนระดับอาจารย์ 9 ท่าน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น การเฉลิมฉลองในวโรกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวจังหวัดอุบลราชธานี
               ปี พ.ศ. 2553 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"   เนื่องจากเมืองอุบลราชธานี มี ธรรม” 3 ประการ คือพุทธธรรม ชาวอุบลฯ มีความฝักใฝ่ในธรรม อารยธรรม คืออุดมด้วยอารยทรัพย์ อารยสงฆ์ และธรรมชาติ ตามถิ่นที่ตั้งเมืองอุบล คือ ดงอู่ผึ้ง จึงเป็นความรุ่งเรือง หรือ "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม" และที่ตั้งเมืองของจังหวัดอุบลราชธานี คือ ดงอู่ผึ้ง ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในการทำเทียนพรรษา รวงผึ้งอุดมสมบูรณ์มาก สำนักพระราชวัง ได้นำขี้ผึ้งจากจังหวัดอุบลฯ ไปเพื่อทำเทียนพระราชทาน ประกอบกับ อุบลราชธานีมีสกุลช่างทุกสาขาวิชาช่างศิลปะ จึงสามารถรังสรรค์เทียนพรรษา ออกมาได้อย่างวิจิตรบรรจงตามจินตนาการ งามล้ำเทียนพรรษา และเนื่องจากประเพณีแห่เทียนพรรษาเกิดจากภูมิปัญญาชาวอุบลฯ  เป็น ภูมิปัญญาชาวบ้านสืบสานเป็น ภูมิปัญญาท้องถิ่นก่อให้เกิด ภูมิพลังเมืองสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ประชาคมเป็นปึกแผ่นมั่นคง แก้ไขปัญหาสำคัญของชาติได้ในการร่วมเป็น ภูมิพลังแผ่นดิน
               ปี พ.ศ. 2552 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม บุญล้ำเทียนพรรษา ประชาพอเพียง"   เนื่องจากอุบลราชธานีเป็น "อู่อารยธรรม อุดมอริยทรัพย์ อริยสงฆ์ รุ่งโรจน์ศาสตร์ เรืองรองศิลป์ ถิ่นไทยดี" ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม จึงเป็นความรุ่งเรือง สว่างไสว อุดมสมบูรณ์ ในธรรมที่สำคัญยิ่ง 3 ประการ คือ พุทธธรรม อารยธรรม และธรรมชาติ ประกอบกับ การทำบุญเข้าพรรษาที่อุบลราชธานี มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี จึงเป็นที่รวมทำบุญเข้าพรรษาของประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก ท่านที่มาทำบุญเดือนแปดที่เมืองอุบลฯ จึงเป็นการบำเพ็ญกุศล ได้รับ "บุญล้ำเทียนพรรษา" โดยทั่วหน้ากัน พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอเน้นคำขวัญ ประชาพอเพียง ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ประชาชนพลเมือง จะมีความ พอเพียง ได้ ก็ด้วยคุณธรรมความพอเพียง ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำชีวิตให้อยู่ดีมีสุข ไม่มีความฟุ้งเฟ้อ ทะเยอทะยาน ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มี เป็นที่มาของชื่องานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ปี 2552
               ปี พ.ศ. 2551 มีชื่องานว่า "เมืองอุบลบุญล้นล้ำ บุญธรรม บุญทาน สืบสานตำนานเทียน"  25 เนื่องจากอุบลราชธานี มีสมญานามว่า "เมืองแห่งดอกบัวงาม" ซึ่งดอกบัว เป็นพฤกษชาติที่มีคติธรรมทางพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง อุบลราชธานีจึงมีวัฒนธรรมประเพณี ทำบุญทุกๆ เดือน คือการยึดถือ             ฮีตสิบสองคองสิบสี่ (ฮีตสิบสอง คือจารีตที่ปฏิบัติแต่ละเดือน ตลอดปี จนเป็นประเพณีสืบต่อมา) ประเพณีแต่ละอย่างในฮีตสิบสอง ล้วนมีแต่ชื่อ ขึ้นต้นว่าบุญ หมายถึง ประเพณีที่มุ่งการทำบุญเป็นสำคัญ อุบลราชธานีจึงมี บุญล้นล้ำ ทั้งบุญธรรม บุญทาน อีกทั้ง งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ก็มีมาแต่โบราณ โดยเริ่มจากในสมัยแรกๆ เป็นเทียนเวียนหัว มัดรวมติดลาย วิวัฒนาการมาจนเป็น หลอมเทียน หลอมใจ หลอมบุญ สืบสานมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของชื่องานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ปี 51
               ปี พ.ศ. 2550 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม เลิศล้ำ เทียนพรรษา ปวงประชาพอเพียง"  เนื่องจากเป็นปีมหามงคล เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรปวงชนชาวไทย และการน้อมนำแนวพระราชดำรัสมาใช้ดำรงชีวิต
               ปี พ.ศ. 2549 มีชื่องานว่า "60 ปี พระบารมีแผ่ไพศาล งามตระการเทียนพรรษา เทิดราชัน" เพื่อแสดงความจงรักภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
               ปี พ.ศ. 2548 มีชื่องานว่า "น้อมรำลึก 50 ปี พระบารมีแผ่คุ้มเกล้าฯ ชาวอุบลฯ" เนื่องจากเมื่อวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2498 ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จเยือนอุบลราชธานี ยังความปลาบปลื้มปิติแก่ชาวอุบลฯ เป็นล้นพ้น เพราะตั้งแต่สร้างบ้านเมืองมาเกือบ 200 ปี ยังไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเสด็จเยี่ยม หรือทรงใกล้ชิดกับราษฎรอย่างไม่ถือพระองค์เช่นนี้ ชาวอุบลฯ ทุกหมู่เหล่า ต่างพร้อมน้อมรำลึกด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเหล้าล้นกระหม่อม พระบารมีแผ่คุ้มเกล้าฯ ชาวอุบลฯ ปิติล้นพ้น ตลอดระยะเวลา 50 ปี ที่ผ่านมาและตลอดไป
               ปี พ.ศ. 2547 มีชื่องานว่า "ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา เทิดไท้ 72 พรรษา มหาราชินี"เนื่องจากเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ พระแม่-แม่พระ ของแผ่นดิน
               ปี พ.ศ. 2546 มีชื่องานว่า "สืบศาสตร์ สานศิลป์" เนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นการ "สืบทอดศาสนาและสืบสานงานศิลปะ" ดังคำกล่าวที่ว่า "เทียนพรรษา คือ ภูมิศิลปะแห่งศรัทธา" เพื่อความกระชับ จึงใช้ ชื่อว่า "สืบศาสน์ สานศิลป์" แต่โดยเหตุที่มีผู้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า คำว่า "ศาสตร์" มีความหมายกว้างกว่า ชื่องานจึงเป็น "สืบศาสตร์ สานศิลป์" ด้วยเหตุนี้

               ปี พ.ศ. 2545 มีชื่องานว่า "โรจน์เรือง เมืองศิลป์" ด้วยเหตุที่ ททท.ได้เลือกงานแห่เทียนพรรษจังหวัดอุบลราชธานี เป็นงานที่โดดเด่นที่สุดของประเทศในเดือนกรกฎาคม ตามโครงการ "เที่ยวทั่วไทย ไปได้ทุกเดือน" จึงจัดให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวตลอดเดือน อาทิ ได้เชิญช่างศิลป์นานาชาติประมาณ 15 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น มาร่วมแข่งขันการแกะสลักขี้ผึ้งตามสไตล์งานศิลปะแต่ละชาติ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มาชมงานตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม 2545 ชื่องาน "โรจน์เรือง เมืองศิลป์" เป็นคำย่อมาจากคำเต็มที่ว่า "อุบลฯ เมืองนักปราชญ์ รุ่งโรจน์ศาสตร์ เรืองรองศิลป์ ถิ่นไทยดี"
               ปี พ.ศ. 2544 มีชื่องานว่า "งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบลฯ" เนื่องจาพรรษาได้วิวัฒนาการไปจาก"ภูมิปัญญาดั้งเดิม" จนแทบจะจำเค้าโครงแต่โบราณไม่ได้ จึงได้มีการหันกลับมาทบทวนการจัดงานแห่เทียนพรรษา ตามภูมิปัญญาของชาวอุบลฯ ตั้งแต่เดิมมากเทียน
          ปี พ.ศ. 2543 มีชื่องานว่า "หลอมบุญบูชา ถวายไท้นวมินทร์" มีความหมายว่า การหล่อเทียนพรรษาของชาวอุบลฯ เพื่อบำเพ็ญกุศลร่วมกัน การหล่อหลอมจิตศรัทธาให้เป็นหนึ่งเดียว เปรียบประดุจการหลอมบุญบูชา เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์
               ปี พ.ศ. 2542 มีชื่องานว่า "งานแห่เทียนพรรษา เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชา" เนื่องจากเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่มาของ "เทียนเฉลิมพระเกียรติฯ" ที่ทุ่งศรีเมือง




วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภูมปัญญาบ้านเฮา


มวยนึ่งข้าวภูมปัญญาอุบลเฮา



มวยนึ่งข้าว

ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม

อุปกรณ์ในการสาน

การตัดไม้ไม้ไผ่


1 ลำใช้ประโยชน์ได้ 4 ช่วง
1.1 – ใช้เลื่อยลันดาตัดไม้ไผ่เพื่อจักตอกสานทีละปล้องยาวประมาณ 30-35 เซนติเมตร
1.2 – ใช้เลื่อยลันดาตัดไม้เพื่อจักตอกเสียบหรือตอกยั่งที่ละปล้องยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร
1.3 – ใช้เลื่อยลันดาตัดไม้ไผ่เพื่อทำขอบมวยตัดทำขอบบนประมาณ 3 ปล้องหรือประมาณ 100-110 เซนติเมตรสำหรับขอบล่างยาวประมาณเกือบ 2 ปล้องหรือประมาณ 50-60 เซนติเมตร
1.4 – ใช้เลื่อยลันดาตัดไม้ไผ่ปล้องที่ยาวที่สุดสำหรับจักตอกสานชั้นที่สาม

2. มีดใช้มีดอีโต้ลับให้คมเพื่อใช้ในการผ่าไม้ไผ่ให้เป็นแผ่นบางๆเพื่อจักตอกสานจักตอกเสียบและทำขอบมวย
3. หินลับมีดเตรียมมาเพื่อใช้ลับมีดเวลาที่จักตอกส่วนต่างๆเมื่อมีดลดความคมลงจะได้ลับมีดทันที
4. เลื่อยใช้เลื่อยลันดาเพื่อใช้ตัดไม้เป็นท่อนๆเพื่อที่จะนำมาจักตอกสานตอกเสียบหรือตอกยั้งตอกสานชั้นสามและทำขอบ

 
5. เชือกในล่อนเส้นใหญ่จะใช้ในการรัดตัวมวยชั้นที่สองให้แน่นก่อนที่จะเย็บขอบล่างของมวย
6. ด้าย 80 เบอร์ 9 ใช้เย็บขอบล่างและขอบมวยบนของมวยและเย็บก้นมวยโยงเป็นใยแมงมุมเพื่อรองรับฝาแตะบางครั้งจะใช้เชือกในล่อนเล็กเย็บขอบแต่ไม่ทนไฟจึงนิยมใช้ด้ายเย็บแทนเดิมใช้หวายแต่เนื่องจากราคาเเพงและหายากจึงเลิกใช้กัน
7. เข็มใช้เข็มขนาดใหญ่เพื่อใช้เย็บขอบล่างขอบบนของมวยและใช้เย็บก้นมวยเป็นใยเเมงมุม

ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม
ขั้นตอนการสานมวย
1. การจักตอกสานชั้นในและชั้นที่สอง
เลือกไม้ส่วนที่เหลือจากการทำตอกเสียบหรือไม้ตรงกลางยาวประมาณ 30-35 เซนติเมตรนำมาผ่าออกเป็นซีกกว้างประมาณ 2 เซนติเมตรปล้องหนึ่งผ่าเป็นซีกแล้วจะได้ประมาณ 15 -18 ซีกแล้วเหลาปลายข้างหนึ่งให้มีความเรียวประมาณ 1 เซนติเมตร (ภาษาถิ่นเรียกว่าการส่วยไม้) แล้วใช้มีดอีโต้ที่คมจักตอกโดยผ่าเป็นผ่าเปิ้นให้เป็นเส้นบางๆไม้ไผ่ซีกหนึ่งจะได้ตอกประมาณ 20-25 เส้นตอกที่ได้เรียกว่าตอกสานเมื่อจักตอกเสร็จจะนำตอกไปผึ่งแดดเพื่อให้ตอกอยู่ตัว
3. การจักตอกสานชั้นสามตัดไม้ไผ่ส่วนต่อจากตอกสานและใช้ปล้องที่ยาวที่สุดตัดส่วนข้อออกและผ่าเป็นซีกหนาประมาณ 0.5 เซนติเมตรและจักตอกตะเเคงทำเป็นเส้นบางๆเล็กๆจะนำมาสานกับตอกเสียบหลังจากจักตอกเสร็จแล้วให้นำไปผึ่งแดด
4. ไม้ทำขอบนำไม้ไผ่ส่วนปลายที่ตักเป็นท่อนๆท่อนละประมาณ 3 ปล้องหรือประมาณ 100-110 เซนติเมตรสำหรับทำขอบบนยาวประมาณ 50 เซนติเมตรสำหรับขอบล่างนำมาผ่าเป็นซีกกว้างประมาณ 2 เซนติเมตรนำมาเหลาให้เรียบแล้วผ่าจักออกเป็นสองข้างเหลาให้บางกว่าส่วนอื่นเผือเวลานำมาประกอบเป็นวงกลมจะทำให้ไม่หนากว่าส่วนอื่น
5. การจักตอกสานฝาแตะนำไม่ไผ่ที่ตัดไว้แล้วยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตรนำมาผ่าเป็นเปิ้นซีกหนายาวประมาณ 0.5 เซนติเมตรจักตะแคงเป็นเส้นเล็กๆเหมือนกับจักตอกสานชั้นที่สามหรือจะใช้ตอกสานชั้นที่สามมาสานเลยก็ได้เพราะวิธีการจักแบบเดียวกัน
6. การสานมวยชั้นในและชั้นที่สองนำตอกสานที่เตรียมไว้แล้วมาสานเป็นลายสองเวียนในการสานจะเริ่มที่ขอบล่างก่อน (ก้นมวย) และสานเวียนไปเรื่อยๆชั้นที่หนึ่งจะใช้ตอกประมาณ 45 คู่แล้วนำมาประกอบกันเป็นวงกลมซึ่งเป็นรูปร่างก้นมวยเมื่อประกบเรียบร้อยแล้วก็สานต่อด้วยลายสองเหมือนเดิมจนเสร็จเป็นตัวมวยขั้นตอนนี้จะสานสองครั้งเมื่อเสร็จเเล้วให้นำมวยมาซ้อนกันจะเป็นมวยชั้นที่สองแล้วใช้เชือกในล่อนมารัดส่วนบนและส่วนล่างให้แน่นเพื่อให้ได้รูปทรงของมวยตามที่ต้องการหลังจากทำขั้นตอนนี้เสร็จเเล้วให้นำมวยไปผึ่งเเดดประมาณ 2 แดด (2 วัน)

7. การเข้าขอบล่าง (ก้นมวย) ก่อนที่จะเข้าขอบล่างให้ใช้เชือกในล่อนรัดขอบบนให้แน่นก่อนแล้วใส่ขอบบนไว้แต่ยังไม่เย็บให้โค้งขอบเป็นวงกลมไว้เฉยๆแล้วใช้เชือกรัดมาที่ขอบล่างให้แน่นแล้วเข้าขอบล่างวิธีการเข้าขอบล่างคือการนำไม้ที่เตรียมไว้แล้วมาใส่โดยการแยกไม้ที่ผ่าไว้มาวางทาบที่ขอบด้านนอกก่อนโดยใช้ติวไม้และทำให้เป็นวงกลมไปตามขอบมวยส่วนไม้ที่เหลือให้วงทาบที่ขอบมวยด้านในแล้วใช้ด้ายเย็บให้แน่นห่างกันประมาณ 1.5 เซนติเมตรเย็บให้รอบขอบล่าง
8. ในการสานชั้นที่สามนี้จะเริ่มสานจากขอบล่างประมาณ10-12 เซนติเมตรสานตอกเริ่มทีละเส้นถ้าเส้นที่หนึ่งหมดให้เริ่มสานเส้นที่สองโดยสานกลับไปเส้นละด้านถ้าไม่ถึงขอบปากอีกให้ต่อเส้นสานไปจนถึงขอบปากมวยจึงถือว่าทำเสร็จขั้นตอนนี้
9. การเข้าขอบบน(ปากมวย) เมื่อสานมวยชั้นที่สามเสร็จแล้วนำมวยมาตัดขอบปากมวยให้เสมอกันหลังจากนั้นใช้ขอบมวยที่สานไว้แล้วมาวางทาบที่ขอบบนจะทำแบบเดียวกันกับวิธีเข้าขอบล่าง(ก้นมวย) เสร็จแล้วเย็บขอบบนให้ห่างกันประมาณ 1.5 เซนติเมตรจนรอบขอบบน
10. การเย็บก้นหวดสำหรับรองฝาแตะใช้วิธีการเย็บแบบโยงไปมาตรงข้ามกันหรือเรียกว่าเย็บแบบโยงใยแมงมุมเมื่อทำตามขั้นตอนทั้งหมดแล้วก็จะได้มวยที่สมบูรณ์แบบประโยชน์ของมวย
11. การแตะสานฝา (ที่รองข้าวเหนียวเวลานึ่ง)
นำตอกที่เตรียมไว้มาสานด้วยลายสองให้ได้แผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวประมาณ18-20 เซนติเมตรใช้ภาชนะกลมๆเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ15 – 16 เซนติเมตรมาวางทาบลงแล้วใช้สีลาดตามขอบภาชนะแล้วนำมาตัดตามรอยเป็นรูปวงกลมใช้ผ้ายืดสีขาวที่ตัดเป็นผ้าเฉลียงนำมาต่อกันยาวๆมาหุ้มตามริมฝาแตะที่ตัดเป็นวงกลมเย็บให้ติดกันจนรอบถ้าไม่เย็บมือจะใช้จักรเย็บก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แนะนำตัว

My self

ชื่อนางสาว สุภาพร  ใจภักดี  ชื่อเล่นๆ นุ้ย  เรียนที่โรงเรียนนากระแซงศึกษา ชั้น ม.6/1
จังหวัดอุบลราชธานีเมืองดอกบัวงาม
                                             ....อนาคตฝันว่าอยากเป็นตำรวจ
Nuy Supaporn ....นิสัยเป็นคนเงียบๆไม่สนใจใคร(ง่ายๆเบื่อโลก)
 ....ชอบเล่นดนตรี(เป็นมือกีต้า)
 ....เกลียจคนที่ชอบนินทาคนอื่น(ไม่ดูตัวเอง)
 ....เป็นคนยิ้มเก่ง(แต่ไม่เจ้าชู้นะ)
 ....การเรียนก็ไม่เก่งเท่าไหร่แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ดี